พิธีกร: สวัสดีครับคุณผู้ชมครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ The Inspire by Hairworld+ ครับ วันนี้จะมาคุยกับงช่างผมที่ต้องบอกเลยว่าเขาไม่ได้เคยอยากที่จะเป็นช่างผมครับ แต่วันนี้เขากลายเป็นครูในสถาบันที่ต้องสอนทำผมแล้วก็เป็นช่างผมที่ได้รับรางวัลระดับประเทศมาแล้ว จะเป็นใครไปไม่ได้เลยครับ วันนี้อยู่กับพี่โบ้นะครับ วรพันธ์ เลิศวิริยะประภา สวัสดีครับพี่โบ้
อ.โบ้: สวัสดีครับ
พิธีกร: พี่โบ้ครับ ย้อนไปในช่วงเด็กที่บ้านเปิดเป็นร้านเสริมสวยอยู่แล้วใช่ไหมครับ
จริงๆ แล้วต้องบอกแบบนี้ คือพี่เป็นหลานอาจารย์ไพบูลย์ อาจารย์ไพบูลย์เป็นแชมป์ผม Asia Pacific แล้วก็ตอนนี้บอกว่าเป็นตำนานก็ได้นะ แต่ว่าก็ยังทำอยู่นะครับ คือที่บ้านพี่อยู่ที่จังหวัดลพบุรี จริงๆ แล้วก็บอกว่าไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยอะไรเท่าไหร่ ก็คืออาจารย์ไพบูลย์เขาเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวใช่ไหมครับ ที่ร้านก็จะอยู่ตรงตลาด แล้วก็ที่บ้านก็จะอยู่ในซอย คือจำได้ว่าเกิดมาเนี่ยก็เห็นแม่ทำงานทุกอย่าง อย่างหนักเลย แต่แม่ก็เหมือนแบบด้วยความรักไง ด้วยความแบบ ก็ไม่เคยแบบว่าจะต้องอะไรกับลูกมาก ที่นี้ร้านทำผมก็จะอยู่ในตลาดอีกที่นึง อาจารย์ไพบูลย์เขาก็ ตอนนั้นรู้สึกว่าเหมือนเป็นช่างตัดผ้ากันก่อนนะครับ แล้วก็ไปเรียนแล้วก็กลับมา
พิธีกร: ตอนนั้นเห็นภาพไหมครับ ระหว่างที่เป็นช่างตัดผ้าของอาไพบูลย์
อ.โบ้: คือตอนนั้นเกิดไม่ทัน แต่มาเกิดทันตอนที่เห็นอาจารย์ไพบูลย์เขาเหมือนแบบมีร้านทำผมอยู่ในตลาดนั้นแล้ว แล้วก็เริ่มซึมซับ แต่ก็ยังไม่เคยคิดว่า เฮ้ย วันนึงเราต้องเป็นช่างทำผมหรือเปล่า หรืออะไรแบบนี้ครับ
พิธีกร: แล้วทำไมถึงก้าวเข้ามาอยู่ในจุดนี้
อ.โบ้: ก็คืออย่างนี้ พอหลังจากนั้นอาจารย์ไพบูลย์ก็ ด้วยคุณพ่อพี่ครับก่อนจะไม่สบายเลยนะ แกก็แบบเหมือนกับผลักดัน ก็ช่วยอาจารย์ไพบูลย์ ก็มาเปิดร้านจังหวัดลพบุรี แต่พี่ก็ยังไม่ได้สนใจอะไร แล้วช่วงนั้นก็คือพ่อเริ่มป่วยและเขาก็เสีย หลังจากนั้นก็คือแม่ก็ต้องเลี้ยงคนเดียวละ มันก็มีอยู่ช่วงนึงช่วงที่เราจะมาเป็นช่างทำผมเนี่ย ในช่วงพอเราเรียนจบปุ๊บ เราก็มาเรียนมัธยมที่จังหวัดลพบุรี ก็เรียนก็มาพักที่ร้านอาจารย์ไพบูลย์นี่แหละ อันนั้นแหละเราก็เริ่มเริ่มซึมซับ เริ่มเห็นวิธีการทำผมเป็นอะไรยังไง เขามีแต่งหน้า เขามีทำนู่นทำนี่ แต่ก็ยังไม่คิดนะว่าวันหนึ่งเราต้องเป็นช่างทำผมนะครับ แต่เราคิดนะว่าเดี๋ยววันนึง เราจะต้องเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ครับ
พิธีกร: ตอนนั้นมองมุมมองตัวเองว่าเป็นมุมมองแบบไหนครับ
อ.โบ้: ตอนนั้นก็คิดว่า คือยังไม่เคยคิดอะไรเลย ด้วยความที่รู้สึกว่าเราก็ยังเป็นแบบเด็กๆ ยังเป็นวัยรุ่นอยู่นะตอนนั้น แบบยังไม่จบ ม.3 เลย ก็ช่วยทำนู่นทำนี่อะไรอย่างนี้ครับอยู่ในร้าน ในมุมมองของเราก็ยังไม่รู้ว่า เอ๊ะ แล้วเราจะมองแบบเราจะเป็นอะไร หรืออะไรยังไงดี จนพอเราเริ่มจบ ม.3 แล้วก็ตอนนั้นเขาเหมือนมีสอบเทียบจบ ม.6 ได้เลยนะครับ ตอนนั้นปุ๊บเนี่ยเหมือนแบบพี่สาวก็เหมือนกับก็ทำงานอยู่ที่ร้านอาจารย์ไพบูลย์ด้วย แล้วก็เขาก็แต่งงานแล้วก็มาอยู่กับครอบครัว พี่ก็มาอยู่กับพี่สาว
ตอนนั้นเริ่มมีความรู้สึกว่า อืม เราจะอะไรยังไงกับชีวิตเราดี เสร็จปั๊บเนี่ย พี่สาวก็พยายามอยากจะให้ทำผมด้วย ก็ยังไม่ทำ ก็กลับไปอยู่ที่บ้าน อยู่ที่บ้านอยู่กับแม่ ตอนนั้นแหละมันเป็นช่วงที่แบบชีวิตแบบ ถ้าเรามามองตอนนี้นะ เราคิดว่าช่วงนั้นมันไร้สาระมาก เจอเพื่อนก็กินเหล้า หรือกินเบียร์ หรืออะไรอย่างนี้ ไปเที่ยว
พิธีกร: ก็เป็นชีวิตวัยรุ่น
อ.โบ้: เล่นการพนันนู้นนี่นั่น ถ้าอยากได้ตังค์เหรอ ก็ขอแม่ หรือบางทีก็แบบว่าหยิบตังค์เองเลย โดยที่เราไม่รู้เลยว่า เฮ้ย แม่เขามีความยากลำบากในการที่จะหาเงินมาให้เราเลยนะครับ เรียนตอนช่วงนั้นแล้วก็แบบเราก็สบายแล้ว เรายังไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยครับ รู้สึกว่า เออ มันก็สบายดีอ่ะชีวิตแบบนี้ใช่ปะ มันก็ไม่ต้องทำงาน แม่ก็ขายของแล้วก็มีเงินให้เราอะไรยังงี้ เราก็อยู่ของเราไปแบบนี้ ก็ยังไม่เห็นว่าอนาคตมันคืออะไร แล้วชีวิตเราจะต้องดำเนินไปแบบไหนยังไง ก็ยังไม่คิดเลย
พิธีกร: คือในตอนนั้นมุมมองมันก็ยังไม่ได้ชัด
อ.โบ้: ใช่
พิธีกร: อนาคตก็ยังไม่ได้วาง
อ.โบ้: ไม่วางเลย คือยังไม่รู้เลยว่าจะต้องเป็นช่างทำผมเหรอ ก็ไม่อ่ะ เพราะว่าบางทีเราไปเห็นเขาทำงานแล้วก็รู้สึกว่า มันก็น่าเบื่อนะ แต่ถามว่าเรารู้สึกไม่ชอบไหม ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแบบไม่ชอบขนาดนั้น แต่ก็ยังรู้สึกว่า เฮ้ยหรือว่าจะต้องทำเหรอ ไม่สิ ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาเลยไง ก็เลยต้องกลับไปบ้าน จนวันนึงแบบเราก็เหมือนเราไปเที่ยวเตร่กลางค่ำกลางคืน แม่ก็ต้องนั่งรอเปิดประตู เปิดประตูให้แล้ว แกก็เริ่มแบบแก่แล้วอ่ะ ทำงานทุกสิ่งอย่างที่แม่ก็ไม่เคยบ่นนะ แล้วก็ไม่เคยด่า แล้วก็ไม่เคยว่า วันหนึ่งวันนั้นเขาก็ถามว่าจะเอายังไงเนี่ย อยากจะเอาชีวิตเป็นแบบไหน จะมาอยู่ไม่ได้นะที่นี่ มันไม่มีอนาคต ก็เลยบอก ก็แม่ก็ไม่อยาก ทำไมเราก็อยู่แบบนี้ก็ได้ปะ ก็อยู่กับแม่ยังงี้ ก็อยู่ด้วยกันแบบนี้
พิธีกร: ก็คือตอนนั้นเป็นเด็ก ก็ไม่ได้คิดว่าต้องทำอะไร
อ.โบ้: ก็ไม่ได้คิดอะไรยังงี้ วันนั้นแม่ร้องไห้เลย ปกติเราไม่เคยเห็นแม่เราร้องไห้ คือนึกในใจว่าวันนั้นใครก็ตามแต่ที่ทำแม่ร้องไห้โคตรบาปสุดเลยปะ เสร็จแล้วแม่ก็ร้องไห้ เขาก็พูดเหมือนแบบ เฮ้ย จะมาอยู่ยังงี้ได้ยังไง แล้วจะทำอะไรกิน แม่ก็แก่แล้ว เขาก็ร้องไห้ออกมา เราก็อึ้งเลยตอนนั้น เราก็รู้สึกว่าเราไม่อยากคุยกับแม่
แต่พอได้ยินเสียงของแม่ ที่แม่ร้องไห้เนี่ยก็เลยทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ได้แล้ว คือถ้าสมมุติว่าเราอยู่แบบนี้ต่อไป วันนี้แม่ร้องไห้เพราะเราไม่ไปทำอะไร วันหน้าถ้าเรายังอยู่แบบนี้อีกเนี่ย เชื่อเลยว่าแม่คงแบบเหมือนแบบต้องช้ำใจตายเพราะเรา คือเลี้ยงมาตั้งแบบเลี้ยงลูก 3 คนมาแล้ว พี่สองคนเขาก็ไปมีอนาคตที่ดีของเขาแล้ว เหลือเราอีกคนเดียว ต้องมารับภาระเลี้ยงดูเรา แล้วเราก็โตขึ้นทุกวันแต่แม่แก่ลงทุกวันยังงี้ พี่ก็รู้สึกว่า แม่ ไม่เป็นไรงั้นเดี๋ยวไปก็ได้ คือแม่เนี่ยตั้งใจว่าอยากให้เราเป็นช่างทำผม อยากให้เราเรียนทำผม เพราะว่าเห็นอาเนี่ยเขาเจริญรุ่งเรือง แล้วพี่สาวและก็พี่ชายเขาก็อยู่ในวงการนี้ เขาก็ทำกันอยู่แล้ว แล้วก็อยากให้เราทำตรงนั้น เพราะว่าแม่เขาก็ไม่ได้มีเงินมากมายในการที่จะมาส่งเราเรียนมหาวิทยาลัย หรือไปกรุงเทพฯ หรืออะไรก็แล้วแต่ แม่ก็ไม่ได้แบบยังงั้น
ซึ่งพี่ก็มาคิดว่าอันนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของแม่ เพราะทุกคนมันเกิดมาเนี่ยมันเลือกไม่ได้ แต่มันเลือกได้ว่าเราจะทำอะไรให้กับชีวิตของเรา แล้วจะเดินไปทางไหน แต่วันนั้นเนี่ยเรายังเลือกไม่ได้ เพราะเรายังไม่มี เขาเรียกว่าแสงสว่าง หรือว่ายังไม่มีคนที่มาจุดประกายให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องทำอะไรกับชีวิตของเรา ต้องบอกว่าแม่นี่แหละเหมือนแบบเหมือนฉุดเราขึ้นมาจาก เขาเรียกว่า คือตอนนั้นเรามีความสุขไง แต่คนอื่นเขาดูแล้วมันเหมือนโคลนตม ยังไงๆ มันก็ไม่มีอนาคต เพราะเขาก็มองดูอยู่แล้วแต่เราไม่เข้าใจ นี่แหละเป็นจุดหนึ่งที่เริ่มมีความรู้สึกว่า เฮ้ย เราต้องทำเพื่อแม่แล้วนะ หรือต้องทำเพื่อตัวเราเองหรือเปล่าครับ
พิธีกร: แล้ววันที่ตัดสินใจจริงๆ ครับอาจารย์ ว่าเลือกที่จะมาในสายช่างทำผมแล้วเนี่ย อาจารย์ปรับตัวและคิดอะไรบ้างช่วงนั้น
อ.โบ้: วันนั้นพอเราเริ่มปุ๊บใช่ไหมครับ ก็กลับไปหาพี่สาว แล้วก็ได้เริ่มกลับไปเรียนรู้อย่างจริงจัง เริ่มเข้าไปเรียนรู้แล้วก็ไปอยู่กับอาจารย์ไพบูลย์อีกครั้งหนึ่ง อาจารย์ไพบูลย์เขาก็เหมือนกับเริ่มสอนเราทุกอย่าง แต่ว่าเริ่มเรียนพื้นฐานจากที่โรงเรียนเพราะว่าตอนนั้นเขามีโรงเรียนอยู่แล้ว ก็ให้เราช่วยเริ่มทำงาน เริ่มที่ร้าน ก็คือเปรียบเสมือนกับเป็นช่างคนนึง คือหรือเหมือนว่าคือเขาก็ไม่ได้บอกว่าลูกหลานจะต้องแบบนั้นแบบนี้ เพราะไม่ได้ เพราะว่าอาจารย์ไพบูลย์เขาจะสอนให้เราต้องทำด้วยตัวเองทุกอย่าง ต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าอนาคตเราจะเป็นช่างที่ดีเราจะต้องเริ่มจากสิ่งที่จะต้องเริ่มจากเรียนรู้เหมือนที่เขาเป็นมาก่อน แล้วก็จะเห็นว่าพี่ทำงานแบบนี้ พี่ทำงานแบบนี้ แล้วก็เป็นเด็กอ่ะ คอยแบบส่งกิ๊บ ส่งไดร์ เก็บกวาดนู่นนี่นี่นั่นอยู่ในร้านทำผมมาตั้งแต่ อันนี้คือในช่วงตอนที่เราจะเข้ามาจริงจัง
พิธีกร: ตอนนั้นอายุประมาณเท่าไหร่ครับ
อ.โบ้: ตอนนั้นก็อายุประมาณ 10 กว่า ประมาณเกือบๆ 20 เองนะครับ แล้วก็อาจารย์ไพบูลย์ก็เลยส่ง พอเรียนที่โรงเรียนในระดับหนึ่งแล้วใช่ไหมครับก็มาเรียนในกรุงเทพฯ ตอนนั้นมีโรงเรียนหนึ่งก็คือ ตอนนั้นจะมีเกศสยาม มีเกตุวดี แล้วก็มีดวงดาว แล้วก็มีเทพวัญ ก็เป็นอีกโรงเรียนหนึ่งที่แบบฮอตอยู่ตอนนั้นใช่ไหมครับ นั่นแหละก็มาเรียน ก็เรียนอยู่ประมาณ 3-4 เดือนก่อนนะครับ 3-4 เดือน แล้วก็หลังจากนั้นปั๊บเนี่ยพอเริ่มเรียนจบปุ๊บก็กลับมาที่ร้าน อันนี้เราก็เริ่มแบบต้องจริงจังกับชีวิตแล้ว
เพราะว่าถ้าหากว่าเราไม่เลือกทางนี้เนี่ยอนาคตเรามองเห็นได้เลยว่ามันแย่แน่ๆ นะครับ ช่วงตอนนั้นน่ะช่วงตอนที่เรียนแล้วก็จะเห็น ดร.สมศักดิ์เขาจะแวะเวียนไป หรืออาจารย์ติ่ง อะไรอย่างนี้ ก็จะเห็นเขาแบบว่า เฮ้ย เหมือนแบบเป็นช่างผม หรือเป็นแบบ อย่างอาจารย์ติ่งเขาก็เป็นอาจารย์ที่เกศสยามใช่ไหมครับ แล้วพี่สมศักดิ์ก็แวะเวียนมา เหมือนกับมาคุยงานมาอะไรกัน ตอนนั้นเริ่มจากประกวด ประกวดผมครั้งแรกเลย ใช่ครับ พอเรียนจบปุ๊บ ในโรงเรียนเนี่ยเขาก็จะมีให้ประกวด พี่ก็ลงผมเกล้า ตอนนั้นก็ได้รางวัลของโรงเรียน
พอเหมือนกับทำงานไปด้วย มันก็มีรายการนึง แต่มันเป็นรายการค่อนข้างใหญ่ ก็คือเหมือนแบบประกวดผม แล้วก็คัดเลือกเยาวชนอายุไม่เกิน 23 ปี WorldSkills ครับ ไปแข่งขัน ตอนนั้นจัดครั้งแรก พี่ก็ตั้งใจมากเพราะว่าอยากลงรายการนี้ เพราะว่าถ้าได้ก็จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งที่ไต้หวัน
พิธีกร: ครับ แล้วตอนนั้นเป็นยังไงครับ
อ.โบ้: อาจารย์ไพบูลย์ก็ซุ่มซ้อม หานางแบบ แล้วก็สอนถ่ายทอดวิทยายุทธทุกสิ่งอย่างให้เราเลยอย่างนี้ครับ แล้วก็ปรากฏว่าตอนนั้นเราก็ได้ เราก็ได้แชมป์มา แล้วก็เป็นตัวแทน คือตอนนั้นเป็นแชมป์เยาวชน ระดับเยาวชน แล้วก็ไปแข่งที่ไต้หวัน แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นการแข่งขันเมืองนอกของเรา เราเพิ่งเข้ามาใช่ไหมประสบการณ์อะไรก็ยังไม่มากพอ แล้วก็ได้แบบเป็น Top Ten ในอันนั้นไป ตอนนั้นสมัยก่อนอาจารย์ประเสริฐศักดิ์ ธนากร เป็น Expert เป็นผู้ที่พาเราไป
แล้วอาจารย์ก็ดีมาก อาจารย์ก็ช่วยเราทุกสิ่งอย่าง แต่ว่าบางครั้งบางอย่าง ข้อสอบบางอย่างเราไม่เคยรู้มาก่อน บางทีเราต้องดูเขาก่อน เขาก็ทำอะไรแล้วก็ต้องใส่แบบเหมือนประสบการณ์ หรือการเรียนรู้ของเราไป แล้วก็พอมาอีกรายการหนึ่งประกวดเซ็ตผมแห่งประเทศไทย ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ไพบูลย์ก็ส่งพี่เนี่ยไปเทรนไปเรียนกับอาจารย์สกุณา รักษ์สัจจะ ซึ่งเป็นอาจารย์ของอาจารย์ไพบูลย์อีกทีนึง
พิธีกร: ครับ
อ.โบ้: อาจารย์ก็บอกมาจะเอาทรงไหน แกก็แบบสอนจับลอน แล้วก็แบบเหมือนกับสวอน หรืออะไรอย่างนี้อะครับ แล้วเสร็จปั๊บอาจารย์ก็ขึ้นให้ ทำแบบนี้ๆ นะ พี่ก็นึกว่าจะให้เราอ่ะทำผม คือเหมือนกับทำอยู่ในร้าน แต่มันทำอยู่ในร้านไม่ได้เพราะว่าคนเยอะมาก มันแน่นมาก
พิธีกร: แล้วต้องไปทำที่ไหนครับ
อ.โบ้: ชั้น 3 คือเหมือนแบบเป็นห้องเก็บของ แล้วไม่มีโต๊ะแบบนี้ด้วยนะ แล้วก็ต้องใช้หุ่น เหมือนกับอยู่ติดกับเก้าอี้อะ เก้าอี้นั่งซักผ้าอะไรงั้นอะ แล้วก็ค่อยๆ หวี นั่งทำตรงนั้นไป ร้อนก็ร้อน ไม่มีแอร์ ไม่มีอะไรอย่างนี้ แล้วก็กลับมาบอกอาจารย์ไพบูลย์ บอกว่าไม่เอาแล้วนะ อะไรยังงี้ ให้ไปทำตรงนั้นอะ หูยอะไรก็ไม่รู้อะไรยังงี้ เขาบอกว่า ขออนุญาตนะ บอกว่า ทำไป ถ้าวันนี้อยากจะให้เขาเรียกเราว่าคุณ ต้องทำไป แต่ถ้าอยากจะให้เขาเรียกว่าไอ้เนี่ย ไม่ต้องทำ เลิกไปซะ
พิธีกร: นี่คือสิ่งที่อาจารย์ไพบูลย์เล่า
อ.โบ้: คืออาจารย์เขาจะไม่ได้สอนแบบต้อง 1 2 3 4 5 แต่ก็จะมีคำพูดที่แบบเด็ดๆ แล้วก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องทำ อะไรแบบนี้เป็นต้นครับ เราก็เลยต้องตั้งใจ จนแบบว่าจนการแข่งขันแล้วเสร็จไป ก็ได้แชมป์มาด้วยนะอันนั้น คือต้องบอกว่าการแข่งขันเนี่ย ของพี่เติบโตมาจากการแข่งขัน แล้วก็ทำทำงานที่ร้านด้วยนะครับ แล้วก็เรื่องของการสอนของโรงเรียน แต่ว่าส่วนใหญ่ในช่วงเริ่มต้นเนี่ยคืออาจารย์ไพบูลย์จะเหมือนปูให้เราแข่งขันก่อน ไม่ว่าจะเป็นแบบหลายๆ บริษัทก็ตามแต่
แต่อันนึงที่รู้สึกว่าเฟลมาก คือแบบว่านอยด์มากเลยอ่ะ ก็คือครั้งนั้นก็เป็นการคัดตัวไปแข่ง Asia Pacific เหมือนกัน แต่ว่าจัดที่เพิร์ธ ออสเตรเลีย ก็แบบก็มีช่างผมหลายคนมากก็มาร่วมแข่ง สำหรับพี่ก็ได้ที่ 1 ก็ได้เป็นตัวแทนไปใช่ไหมครับ เสร็จปั๊บเนี่ย โอเคเราก็แบบดีอกดีใจเลย แล้วเขาก็เคยมีคนเคยเล่าให้ฟังว่า ระวัง ถ้าไปแข่งเมืองนอกเนี่ยระวังนางแบบมันจะเบี้ยว หรืออะไรอย่างนี้ ก็บอกโอ๊ย ไม่เจอหรอก ไปตั้งหลายคน พี่สาวก็ไป พี่ชายก็ไป อาจารย์ไพบูลย์ก็ไป แล้วเราก็ไปคนนึง ก็เท่ากับว่าเวลาเปิดโรงแรมก็จะ 2 ห้อง แล้ววันนั้นพอไปถึงปั๊บ คือพี่พอเดินไปเลือกนางแบบคนแรกเลย สวยมาก ผมยาวขนาดนี้ แล้วก็มาตัดเขาเตรียมผมจนเหลือสั้นๆ
เขาก็ไม่ได้มีทีท่าอะไรเลย เชื่อไหมว่าพอกลางคืน ตกกลางคืนเราก็บอกโอเค ไม่เป็นไร เดี๋ยวยูไปนอนอีกห้องนึง แล้วพี่สาวกับพี่ชายก็มานอนรวมกันห้องเดียวกัน แล้วก็ให้เขากับแฟนนอนไป ปรากฏว่าตื่นเช้ามา ตื่นเช้ามาเราก็จะแบบเรียกมาแต่งหน้า เรียกมาเตรียมผม เรียกมาลองชุดอะไรอย่างงี้ ปรากฏว่าเปิดประตูไปอ่ะ คือเหมือนแบบเปิดได้เลยอ่ะห้องไม่ล็อก แล้วเขาก็เขียนโน้ตไว้บอกว่า ฉันเสียใจด้วยนะ แม่ฉันเข้าโรงพยาบาล และเขาก็ต้องไป ปรากฏว่าตื่นเช้ามาจะแข่งอยู่ประมาณสิบโมงแล้ว แต่เจ็ดโมงไม่มีนางแบบ เรารู้สึกเฟลมาก ตอนนั้นแบบว่าวูบเลยอะ
พิธีกร: แล้วตอนนั้นพี่โบ้แก้ไขปัญหานี้ยังไงครับ
อ.โบ้: ตอนนั้นปุ๊บใช่ไหมครับ เราก็เลยมาถามเพื่อนนายแบบของน้องอีกคนนึงที่เขาเป็นคนออสเตรเลียเหมือนกัน เขาก็พาไปหานางแบบอีกคนนึง เสร็จปั๊บคือเขาบอกว่าคนนี้โอเค พอสวยแหละ พอนู่นนี่นั่น ไปๆๆ นั่งแท็กซี่ไปเลยนะ ไปรับเขาถึงที่บ้านเลยอะ ปรากฏว่าพอไปเจอปุ๊บเนี่ยหน้าสวยมาก แต่หุ่นแบบว่าอ้วนมาก ตัวใหญ่มากอะไรยังงี้ แล้วชุดก็ใส่ไม่ได้ แล้วก็ต้องบีบ ต้องรัด ต้องอะไรอย่างนี้กัน คิดดูแบบว่าทรหดมาก
พิธีกร: แต่ก็คือใช้นางแบบที่ไปรับมา
อ.โบ้: ใช่ ก็ต้องใช้เพราะมันไม่มีแล้วอะ
พิธีกร: ผลรางวัลเป็นยังไงฮะ
อ.โบ้: ไม่ได้สิ
พิธีกร: เพราะว่า
อ.โบ้: ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ มันไม่ใช่ทรงที่เราเตรียมไป แล้วมันสีก็ไม่ได้ ไม่มีเวลาทำสีแล้ว 9 โมง 1 ชั่วโมงในการทำสีการแข่งขัน โอ้โฮมันไม่ใช่นะ แล้วผมก็แบบบลอนด์มาเลยอย่างนี้ แล้วมันก็แก้สี มันทำอะไรไม่ได้อะ เราก็ต้องแข่งขันไป ก็คือต้องทำไป สุดท้ายเนี่ยเราก็ไม่ได้ ก็คือแบบเราก็รู้สึกผิดหวังเหมือนกันนะ แล้วรู้สึกแบบนอยด์เหมือนกัน แบบว่าคือเศร้าเหมือนกันนะ แต่ว่าก็คิดว่า เออไม่เป็นไรหรอก มันก็คงต้องเป็นช่วงชีวิตนึง แล้วพอมาอีกปีนึงเขาก็มีจัดประกวดอีก เพราะ 2 ปีมันจะจัดครั้งนึงใช่มั้ยครับ เอาใหม่ คราวที่แล้ว Asia Pacific ไม่ได้ใช่ไหม เออคราวนี้ยังไงก็ต้องได้ ปรากฏว่าก็ลงอีก ลงอีกปั๊บเนี่ยก็ลงผมเกล้าด้วย ผมซอยด้วยอะไรด้วย ก็ได้หมดเลย แล้วก็ได้ Grand Champion ของงานนั้นด้วยครับ งานในประเทศไทยนะ แล้วก็ส่งไปอันนี้ไปที่ เขาจะเวียนกันไปที่โคลอมโบ ที่ศรีลังกา คนแข่งก็เป็นร้อยเหมือนกัน คราวนี้ขอโทษนะ ไม่หวังนางแบบข้างหน้าแล้ว จ่ายตังค์ให้น้องนางแบบ เอาของเราไปเองเลย อุ่นใจสบายใจกว่า สุดท้ายเราก็ได้แชมป์เอเชียแปซิฟิกอันนั้นมาเป็นของเรา
พิธีกร: สมใจเลย
อ.โบ้: ใช่
พิธีกร: ถ้าเกิดวันนั้นนางแบบไม่หนี
อ.โบ้: เออ เศร้ามาก คือคิดดูเราเตรียมทุกอย่างแล้วอะ แล้วเราไปถึงที่นู่นอะ แล้วเขาหายไปอย่างนี้ มันจบเลยนะ แล้วมันต้องมาเกิดกับเราอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเนี่ยในการเป็นช่างทำผมก็สอนให้เรารู้ว่า ชีวิตมันไม่ได้สวยงาม ชีวิตมันไม่ได้ อย่างที่เขาบอกไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบใช่ไหมครับ อาจจะโรยด้วยกลีบกุหลาบก็ได้ แต่ว่าเราดันไปเหยียบเอาหนามของกุหลาบ แล้วถ้าสมมุติว่าเราเหยียบหนามอันนั้นมาแล้วเนี่ย แล้วเราเอามาติดกับตัวเรามาตลอดชีวิตเนี่ย แล้วเราไม่ยอมแกะหนามกุหลาบนั้นออกไป แล้วก็รักษาแผลเนี่ย แล้วโดยที่ไม่หยิบกุหลาบดอกใหม่มา รับรองว่าเราก็คงจะจมปลักกับสิ่งที่เราเจ็บช้ำวันนั้น ถ้าพี่เลิกประกวดวันนั้น ก็คงจะทำให้เราไม่มีแรงผลักดันในการที่จะก้าวมาแน่นอน
พิธีกร: ถามพี่โบ้คำนึงครับ เราเห็นช่างทำผมสายประกวดค่อนข้างเยอะนะฮะ ทีนี้จะต้องถามว่าช่างทำผมที่ประกวดมา ได้รางวัลเยอะๆ มานะครับ กับช่างทำผมธรรมดา การบริการมันต่างกันยังไงครับ
อ.โบ้: จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีความแตกต่าง แต่ต้องบอกว่าช่างทำผมเนี่ย เป็นช่างทำผมเหมือนกัน แต่ว่า Signature หรือความชอบ หรือความเป็นตัวตนของเขานั้นมีความแตกต่างกัน บางคนเนี่ยประกวดหลายๆ เวที แต่บางทีมาทำงานในเรื่องของธุรกิจซาลอน หรือว่าการสอน อาจจะได้ระดับหนึ่ง แต่บางคนที่เขาไม่เคยประกวดเลย แต่เขามีประสบการณ์ในการที่จะเรียนรู้ดูแลลูกค้าหรืออะไรแบบนี้ เขาประสบความสำเร็จมากมาย เพราะฉะนั้นการประกวดเนี่ยมันเป็นช่องทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราไม่ได้เป็นแชมป์แล้วเราจะเป็นช่างทำผมที่เก่งและที่ดี แล้วก็มีคนยอมรับมากมาย ไม่ใช่นะครับ หรือถ้าเราประกวดแล้ว หรือถ้าเราประกวดแล้วเนี่ยเราจะต้องเป็นช่างทำผมที่แบบต้องเก่งกว่าใคร ก็ไม่ใช่เหมือนกันนะครับ เพราะว่าการประกวดมันอย่างที่บอกครับ มันเป็นความชอบแต่ละบุคคล แต่ละกลุ่มใช่ไหมครับ เพื่อที่จะเป็นการให้เราได้พิสูจน์บางสิ่งบางอย่างในตัวของเรา เป็นการเอาชนะใจตัวเองมากกว่า แต่ว่าช่างหลายๆ คนนะครับ ชอบประกวด แต่ก็ใช้งานประกวด เขาเรียกว่ามาทำงานในชีวิตของเรา มาในร้าน มาอะไรแบบนี้ครับ เหมือนกันนะครับ ก็อันนี้ก็แล้วแต่มุมมอง แต่ไม่ได้มี ไม่ได้เป็นการวัดว่าอะไรจะดีกว่าอะไรครับ
พิธีกร: ทีนี้มาต่อกันครับ หลังจากที่ประกวดมาแล้วเนี่ย หลังจากที่เดินสายประกวดมาเยอะๆ นะครับ กลับมาที่การทำงานนะฮะ เป็นยังไงบ้างครับ
อ.โบ้: การประกวดกับการทำงานมันก็มีความแตกต่างกัน การประกวดแน่นอนที่สุดเราต้องเอาชนะใจตัวเอง แล้วชนะใจกรรมการ แล้วก็ต้องคิดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การทำงานมันไม่ใช่ มันเป็นการให้ความมั่นใจ ให้ความศรัทธา ให้ความเชื่อมั่นกับลูกค้า หรือถ้าสมมุติวันนี้เราไม่มีลูกค้า ก็ไม่มีเรา ถูกไหมครับ เพราะฉะนั้นในการทำงานแต่ละครั้งๆ เนี่ย เราก็ต้องดูว่าลูกค้าเนี่ยเขาเป็นคนแบบไหน มีไลฟ์สไตล์ยังไง หรือชอบอะไรแบบไหน เราก็จะต้องเหมือนกับต้องหาสิ่งที่ลูกค้าชอบอ่ะ ให้กับเขา แล้วเราก็ต้องเป็นอย่างที่ลูกค้าเขาต้องการ แต่ว่าเราในส่วนหนึ่งก็ต้องเป็นตัวเราด้วย ในการที่จะขายความเป็นตัวเรา
พิธีกร: แล้วหลังจากที่ทำผมแล้ว ประกวดแล้ว ก็เริ่มมาเป็นครูสอน
อ.โบ้: ใช่ครับ ก็คือเราก็เริ่มเข้ามาสู่ในระบบ แล้วก็คิดว่า โอเคการประกวดเราต้องหยุดแล้ว เพราะเราได้รางวัลแล้ว เราก็เริ่มสอนน้องๆ ที่เขาอยากจะมาเป็นแชมป์เหมือนกัน แต่ว่าที่ร้านเป็นโรงเรียนด้วย เราก็ต้องสอน มีสอนบ้างอะไรบ้าง แล้วก็มีร่วมกับบริษัทนะครับที่เหมือนกับให้เราเซ็นสัญญานะครับ เหมือนเราเป็น Ambassador ของเขาเลยนะครับ แล้วก็เหมือนกันเป็นทีมของเขา แล้วก็ส่งให้เราไปเรียนแล้วก็ให้เรามาเหมือนกับเผยแพร่ส่งต่อความรู้ที่เราเรียนเนี่ยนะครับผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสอนแบบสาธิตตัวต่อตัว หรือว่าการสอนแบบบนเวที หรือว่าการสอนแบบเป็นลักษณะของให้ความรู้อะไรต่างๆ เหล่านี้นะครับ ก็เริ่มมาเป็นงานสอนในระดับหนึ่งด้วย ก็คือเพิ่มเข้ามาครับ
พิธีกร: คุณผู้ชมครับจะเห็นได้ว่าชีวิตของพี่โบ้ ไม่ได้มา หรือว่าอาจารย์โบ้เนี่ย ไม่ได้มาด้วยกลีบกุหลาบ เพราะว่าจริงๆ แล้วเนี่ยหลังจากที่ออกจากบ้าน ก็มีการเรียนรู้ ทั้งอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ทั้งต้องฝึกในที่ที่ลำบากมากๆ อย่างที่ได้เล่ามา จนวันนี้มาเป็นแชมป์นะครับ แล้วเป็นอาจารย์ด้วย แล้วได้ข่าวว่าตอนนี้เริ่มที่จะสอนออนไลน์แล้วใช่ไหมครับ
อ.โบ้: ใช่ ต้องบอกว่าเป็นโปรเจ็กต์แรก แล้วก็คิดว่า เมื่อก่อนก็คิดว่าการสอนออนไลน์แบบนี้ เรื่องของการทำผมเนี่ย คือมันต้องสอนตัวต่อตัว คือคิดว่าเราสอนตัวต่อตัวบางทีเนี่ยเขายังทำไม่ค่อยได้เลย
พิธีกร: ครับ
อ.โบ้: แต่นั่นมันคือเมื่อก่อน แต่ในเมื่อยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว วิธีการเรียนรู้ วิธีการเสพสื่อของคนเริ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นการสอนออนไลน์เริ่มมามีบทบาทแล้ว มันเข้ามาอยู่ในใจเราก่อนนะ แล้วรู้สึกว่าเราต้องเริ่มแบบนี้แล้วล่ะ ในการที่จะให้คนเขาได้รู้ว่าองค์ความรู้ของการ ของกระบวนการเรียนทำผมเนี่ยมันต้องมาจากการเรียนรู้ คือดูก่อน ดูแล้วทำ หรือแล้วถ้าสมมุติว่าไม่ได้สนใจหรือไม่ชอบแบบนั้นก็ค่อยว่ากันอีกทีนึง ก็เป็นโปรเจ็กต์นึงที่คิดว่าน่าจะต้องตอบโจทย์สำหรับการเรียนทำผมในอนาคตแน่ๆ
พิธีกร: ตอนนี้ก็เลยมาตั้งคอร์ส แล้วก็สอนคอร์สที่มีชื่อว่า
อ.โบ้: ใช่ Teach by Guru ของพี่ก็จะดูในเรื่องของผมเกล้า Hair Updo นะครับ ก็เป็นการสอนในเรื่องของผมเกล้า เรื่องราวของการเตรียมผมเกล้ายังไง วิธีการยีผมนะครับ แล้วก็เรื่องของแบบทรงผมของเราเนี่ยละเอียดมาก ซึ่งเป็นหลักสูตรที่หาที่ไหนไม่ได้ แล้วก็เป็นการสอนแบบ Step by Step ทีละขั้นตอนเลย
พิธีกร: ตอนนี้เขานิยมแบบแนวเกาหลี
อ.โบ้: ก็มีด้วย มีแขกรับเชิญด้วย มีแขกรับเชิญมาช่วยให้ดูแบบมีสีสันเพิ่มมากขึ้นครับ
พิธีกร: ส่วนจะเป็นใครในคอร์ส ก็ต้องไปลองติดตามกันครับ กับ Teach by Guru นะฮะ ก่อนจะจากกันไปอยากให้พี่โบ้ หรือว่าอาจารย์โบ้นะครับ ได้ฝากข้อคิดให้กับช่างผมสมัยใหม่ด้วยครับ
อ.โบ้: ก็วันนี้นะครับอยากจะฝากถึงน้องๆ หรือว่าช่างทำผมรุ่นใหม่ๆ หรือว่าช่างทำผม แล้วก็ให้กำลังใจทุกๆ คนที่เป็นช่างทำผมตอนนี้ด้วยนะครับว่า เนื่องจากว่าการเริ่มต้นอาชีพของเราเนี่ยนะครับ บางคนเริ่มต้นง่าย บางคนเริ่มต้นยาก แต่ว่าการจะดำเนินไปให้มันอยู่อย่างนี้ไปนะครับ มันก็เป็นสิ่งที่ยากกว่า เพราะฉะนั้นเราเดินทางมาตรงจุดไหนของชีวิตก็แล้วแต่ อยากให้มีกำลังใจ ความรักในอาชีพของเรา ซื่อสัตย์สุจริต อันนี้ผมว่ามีความสำคัญมาก และที่สำคัญที่สุดก็คือมีความอดทน ถึงแม้ว่าตอนนี้เนี่ยทุกๆ คนจะต้องเจอกับวิกฤตอะไรต่างๆ ที่มันเข้ามาก็ตามแต่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องทำให้ลูกค้าประทับใจได้ตลอด นั่นคือตัวของเรา ถ้าเรารักตัวของเรา เราก็ต้องรักลูกค้าของเรา แล้วก็รักในอาชีพของเรา แล้วก็ทำให้ดีที่สุดเลยครับ ทำสิ่งต่างๆ ที่เราทำออกจากตัวเราไปให้ดีที่สุด ก็เป็นการให้กำลังใจ และเพื่อที่จะให้วงการช่างผมของเราไม่ได้หยุดแค่เราแค่นี้ เพราะเรายังมีรุ่นต่อๆ ไปด้วยครับ