สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ต้องถือว่ากำลังเข้าสู่วิกฤตรอบใหม่ ที่พ่นพิษร้ายแรงไปทั่วทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการช่างผมและธุรกิจเสริมสวยที่ต้องเผชิญปัญหาหนัก จนหลายคนจำใจปิดร้าน ปิดกิจการชั่วคราว โดยที่ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะกลับมาเปิดร้านได้เมื่อไหร่? และจะได้รับการช่วยเหลือ หรือมีมาตรการเยียวยาใดๆ เกิดขึ้นบ้าง?
Beauty Biz วันนี้จึงขอพาไปย้อนรอยเหตุการณ์วิกฤตครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปี 2563 ในปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกับช่างผมบ้าง? มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรในวงการเสริมสวย? และแม้ว่าวันนี้วิกฤตเดิมจะกลับมาซ้ำเติมพวกเราอีกครั้ง ก็หวังว่าทุกคนจะเข้มแข็ง ร่วมแรงร่วมใจเพื่อให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้
พิษวิกฤตรอบใหม่ ธุรกิจเสริมสวยจะอยู่รอดได้อย่างไร?
เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2562 ที่ระบาดรุนแรงจนกลายเป็นวิกฤตระดับโลก โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงเมื่อไหร่?
วิกฤตนี้ส่งผลกระทบไปแทบทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการผม และธุรกิจเสริมสวย โดยในระลอกแรกเมื่อปี 2563 ได้มีคำสั่ง “ปิดร้านทำผม” นานหลายเดือน ทำให้ “ช่างผม” ที่เคยถูกยกให้เป็นอาชีพที่ไม่มีวันตกงาน ต้องจำใจวางกรรไกร ปิดร้านกันชั่วคราว ต้องต่อสู้ และปรับตัวอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด ทั้งหาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายน้ำพริก ขายส้มตำ เย็บหน้ากากอนามัย ขายหมูปิ้ง
จนกระทั่งได้เกิดการผนึกกำลังครั้งสำคัญของเหล่าสมาคมช่างผมไทย ที่มาร่วมกันปรึกษาหาแนวทางช่วยเหลือช่างผมไทย และนำไปสู่การประชุมกับภาครัฐ ก่อเกิดเป็น “โครงการช่างผมอุ่นใจ” ที่ช่วยเหลือและให้ความรู้ร้านทำผมขนาดเล็ก ได้เรียนรู้ถึงการดำเนินกิจการตามวิถีชีวิตใหม่ เรียกว่า “ยุค New Normal” ช่างผมต้องปรับตัวอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการรักษาความสะอาด และสุขอนามัยภายในร้าน ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง การตรวจวัดอุณหภูมิของลูกค้า รวมทั้งการทำความสะอาดร้านอย่างเข้มงวด ทำให้ช่างผมได้หันมาใส่ใจเรื่องความสะอาด และมาตรฐานอาชีพในการให้บริการอย่างจริงจังขึ้น
เมื่อร้านเสริมสวยได้รับการผ่อนปรนให้สามารถทำเคมีได้คนละไม่เกิน 2 ชม. ทำให้ธุรกิจซาลอนได้กลับมาลืมตาอ้าปากอีกครั้ง แต่วิกฤตนี้ยังไม่มีท่าที่จะจบลงง่ายๆ เมื่อเกิดคลัสเตอร์ใหม่เป็นระลอกที่ 3 จากกลุ่มนักเที่ยวกลางคืนไฮโซ ที่กลับจากต่างประเทศโดยไม่มีการกักตัว แถมยังเอาสายพันธุ์ใหม่เข้ามาระบาดในเมืองไทย ประกอบกับการจัดหาวัคซีนจากภาครัฐที่ล่าช้า ไม่ทั่วถึงและเพียงพอ ทำให้สถานการณ์ยิ่งบานปลาย ซ้ำเติมอาชีพช่างผมอีกครั้ง
แม้ครั้งนี้จะไม่มีคำสั่ง “ปิดร้าน” แต่ให้ งดการทำเคมีในร้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำสี, ยืด และดัดผม ทำให้ร้านทำผมส่วนใหญ่ขาดรายได้หลักไป และยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงแบรนด์สินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผมต่างๆ ก็ได้รับผลระทบไปด้วย หลายร้านเลือกที่จะปิดชั่วคราว ขณะที่อีกหลายร้านต้องปิดกิจการเพราะไปต่อไม่ไหว เนื่องจากต้องจ่ายค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ และค่าจ้างพนักงาน ในขณะที่รายรับที่ได้ต่อวันไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ร้ายเสริมสวยเงียบเหงาแทบไม่มีคนเข้าร้าน และยังไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐว่าจะยกเลิกคำสั่งเมื่อไหร่ หรือมีมาตรการผ่อนปรนอย่างไร? ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานานกว่า 1 ปี ธุรกิจร้านเสริมสวยก็ยังไม่ได้รับการชดเชย หรือช่วยเหลือใดๆ จากภาครัฐ ทำให้ร้านเสริมสวยอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ช่างผมและธุรกิจเสริมสวยควรได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ หรือผู้มีอำนาจมาช่วยจัดการดูแล หามาตรการต่างๆ ที่เหมาะสม เพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้ Hairworld Plus+ ขอส่งกำลังใจให้ช่างผม และเจ้าของธุรกิจเสริมสวย ให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน