ในช่วงที่เราประสบปัญหาวิกฤตโควิด-19 นี้ หลายคนก็คงย้อนกลับไปนึกถึงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่ภาคธุรกิจประสบปัญหากันอย่างรุนแรง และในช่วงนั้นคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ได้ถูกหยิบยกมาพูดถึงกันและนำมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ผ่านช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังมีปัญหาได้ สำหรับในส่วนของการทำธุรกิจนั้น พอพูดถึง “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็อาจจะสงสัยว่าจะเป็นเรื่องที่ขัดแย้งหรือสวนทางกันหรือไม่ เพราะการทำธุรกิจที่มีการลงทุน ลงเงิน ลงแรงกันไปอย่างมากมายก็แน่นอนว่าสิ่งที่คาดหวังคือผลกำไรที่ดี หรือมีการขยายร้านขยายสาขาในอนาคต แต่ถ้าเราลองนำหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาคิดและพิจารณาอย่างจริงจัง ก็จะพบว่าสามารถนำมาปรับใช้ในการทำธุรกิจซาลอนและร้านเสริมสวยได้เช่นกัน
Hairworld Plus จึงขอน้อมนำปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้ มาให้ได้อ่านและเรียนรู้ พร้อมทั้งลองนำไปปรับใช้เป็นหลักคิดในการบริหารธุรกิจกิจกันดู
3 หัวใจหลัก ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด นับตั้งแต่ พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา จนกระทั่งในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในประเทศไทยและหลายประเทศในแถบเอเชียช่วงปี พ.ศ. 2540 ได้ถูกนำมาพูดถึงอย่างกว้างขวางอีกครั้ง เพื่อนำมาใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ให้ทุกคนสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
สำหรับ “หัวใจหลัก” หรือ “หลักการสำคัญ” ของ “เศรษฐกิจพอเพียง” มี 3 ข้อ ได้แก่
1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ซึ่งในส่วนของการทำธุรกิจซาลอน สามารถนำมาใช้ได้อย่างเช่น การขยายกิจการ ไม่ควรเร่งขยายจนเกินกำลังหรืองบประมาณที่มี เพราะถ้าเปิดสาขามากเกินโดยที่ไม่มีกำลังคน ขาดช่างผมฝีมือดี หรือแม้แต่เงินสำรอง ก็จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการดูแลสาขาใหม่ให้มีคุณภาพ
2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ ซึ่งในส่วนของการทำธุรกิจ เจ้าของกิจการก็ควรมีการวางแผนงานหรือแผนปฏิบัติการต่างๆ ไม่ใช่มองเพียงแค่เรื่องของความชอบ ความพอใจส่วนตัว เมื่อเรามีแผนมีการทำงานที่สมเหตุสมผล ก็จะสามารถเดินหน้าไปได้อย่างตรงเป้าหมาย
3. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยในส่วนของเจ้าของธุรกิจซาลอนก็ต้องมีการวางแผนสำรอง แผนการบริหารความเสี่ยง หรือแม้แต่การสำรองเงินไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ หรือปัญหาที่อาจจะเกิดจากการบริหารงานในอนาคต ซึ่งวิกฤติโควิดที่ผ่านมาก็น่าจะให้บทเรียนกับทุกคนในวงการผมเป็นอย่างดี เพราะในช่วงนั้นร้านเสริมสวยต้องปิดกิจการ ทำให้ขาดรายได้ และต้องอยู่ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนของชีวิต เพราะฉะนั้นถ้าเรามีภูมิคุ้มกัน หรือวางแผนรับมือไว้ ก็จะสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้โดยเกิดความเสียหายน้อยที่สุด
นอกจากหลักการทั้งสามข้อแล้ว ก็ยังควรต้องมี 2 เงื่อนไข ที่เราจะละเลยไม่ได้อีกเช่นกัน นั่นก็คือเรื่องของ “ความรู้” และ “คุณธรรม”
- ความรู้ คือความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวัง โดยผู้ที่ทำธุรกิจต้องมีการเรียนรู้ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และดำเนินธุรกิจต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้ธุรกิจเกิดความก้าวหน้าและเติบโตต่อไปได้ในอนาคตโดยไม่สะดุดกับปัญหาต่างๆ
- คุณธรรม คือการยึดถือคุณธรรมต่างๆ อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมและการแบ่งปัน สำหรับการบริหารธุรกิจก็อย่างเช่น เจ้าของธุรกิจไม่ควรเอาเปรียบลูกค้า หรือแม้แต่พนักงานในร้าน และหากมีความพร้อมก็อาจจะลงมือช่วยเหลือสังคมอย่างการทำ CSR ซึ่งตอนนี้ก็มีบางร้านที่เริ่มหันมาทำตรงจุดนี้แล้ว ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือสังคม ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับร้านหรือธุรกิจของตัวเองอีกด้วย
จากหลักการทั้ง 3 ข้อ 2 เงื่อนไขนี้จะเห็นได้ว่า หลักการเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้หมายถึงการทำธุรกิจโดยไม่ได้เล็งเห็นผลกำไร แต่หมายถึงการทำอย่างพอดี ทำอย่างมีเหตุผล มีการวางแผนอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งการดำเนินการอย่างมีความรุ้ ควบคู่ไปกับคุณธรรม ซึ่งนับได้ว่าเป็นหลักการสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนนั่นเอง
ภาพประกอบ : Freepik