Salon Whisperer
ก่อนอื่นต้องขอกราบงามๆ กับท่านผู้อ่านและขอทักทายทุกท่านด้วยมารยาทแบบไทยๆ ของเราว่า สวัสดีครับ (พร้อมยกมือสิบนิ้วประณมแนบอก) ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เขียนเล่าเรื่องราวสนุกสนานจากประสบการณ์จริงและตรงสู่ทุกท่าน ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแวดวงซาลอน และวงการผมมาส่งตรงให้อ่านกันอย่างสนุกสาน มีทั้งเรื่องน่ารักและหยิกแกมหยอกกันขำๆ ชิลๆ คิดซะว่ามาผ่อนคลายกันบ้างในภาวะที่รอบตัวเรามีความเครียดกันเยอะแยะหลายเรื่องแล้วกันเนอะ
การทำงานในซาลอนเนี่ยมันเป็นบริการที่แน่นอนว่า มันเกี่ยวข้องกับคน คน แล้วก็คนจริงจริ๊ง (ขอเสียงสูงนิดนึง) ทั้งช่างทำผม ลูกค้า เพื่อนลูกค้า แฟนลูกค้า พ่อแม่ลูกค้า กิ๊กลูกค้า ลูกของลูกค้า ยันไปจนถึงคนรับใช้ของลูกค้า (บางครั้ง) เรียกว่ามากันตรึมอย่างกับมาส่งไปเมืองนอกก็มี แต่ละวันก็จะมีเรื่องหรือเหตุการณ์ให้เราได้ตื่นเต้น หรือให้ต้องแก้ปัญหาได้เสมอ เรียกว่า ผู้จัดการร้าน หรือผู้บริหารประจำร้านไม่มีวันได้สมองฝ่อเพราะต้องคิด คิดแล้วก็คิด ที่เราต้องให้ความสำคัญมากที่สุดคือ ลูกค้าอย่างแน่นอนที่สุด เพราะลูกค้าก็คือ เงินนั่นแหล่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องดูแล เอาใจ ใส่ใจ สนใจ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจจะได้กลับมารับบริการอีกโดยเฉพาะในภาวะของการโครตแข่งขันในยุคเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองและเหนื่อยกันขนาดนี้ เราต้องยิ่งใส่ใจเป็นกำลัง 2 3 4….. หรือมากกว่านี้ เพื่อความสำเร็จและการอยู่รอดแบบ (พยายาม) ให้ยั่งยืนที่สุด แต่การที่จะให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมันก็มีปัจจัยหรือองค์ประกอบหลายสิ่งอย่าง ไม่ขอพูดถึงบรรยากาศหรือเงินลงทุนของร้านนะ ขอพูดเรื่องคนอย่างเดียวก่อนแล้วกัน เริ่มต้นที่ลูกค้าเข้าร้านปุ๊บ คนแรกคือพนักงานต้อนรับ (บางร้านก็มี บางร้านก็ไม่มี) ถ้าพนักงานต้อนรับของเราเกิดแปลงร่างเป็นพนักงานไม่ต้อนรับขึ้นมา จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ตั้งแต่ไม่สบาย ปวดหัว ปวดท้อง หรือมีปัญหาทะเลาะกับที่บ้าน กับเพื่อน ส่งผลให้เกิดอาการหน้าหงิกหน้างอ ไม่พอใจ ไม่เต็มใจให้บริการขึ้นมา เพราะไม่ใช่เงินของเธอ ก็เป็นอันจบตั้งแต่ปากประตูร้านเลยทีเดียวเชียว เอาล่ะผ่านจากประตูร้านมาถึงส่วนของการสระผม ถ้าลูกน้อง คือผู้ช่วยสระผมอย่างไม่ใส่ใจสระแล้วไม่สบาย ไม่สะอาดจนรู้สึกได้ ไม่หายคัน ลูกค้าก็จะเริ่มหงุดหงิด บางครั้งเราก็คงจะเคยได้ยินว่าลูกค้าจะสั่งเลย สระ 3 รอบนะ เกาแรงๆ เกาให้แรงกว่านี้ แรงอีก บอกว่าให้แรงกว่านี้
“พี่คะ หนูเกาจนเจ็บเล็บแล้วค่ะ”
“ไม่ได้ค่ะน้อง ถ้าพี่ไม่หายคัน พี่ไม่ยอมค่ะ”
“พี่คะ โทษนะคะ สระเองแล้วกันนะคะ หนูคงทำให้พี่ไม่ไหวค่ะ” แล้วก็เดินจากไป
คุณผู้อ่านคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น แน่นอน ผู้จัดการร้านก็คงต้องหาคนอื่นมาทำงานแทนด้วยความหวาดเสียวจากการอาละวาดของลูกค้าท่านนี้ ซึ่งชีอาจจะไม่ยอม ขอแค่ล้างแชมพูบนหัวแล้วก็โกยแบบจะไม่กลับมาเหยียบร้านนี้อีก แล้วใครละแจ็คพอตถ้าไม่ใช่เจ้าของร้าน
เอาล่ะ ถ้าสระเสร็จเรียบร้อย พาลูกค้ามาที่สเตชั่นเพื่อทำการเชทผมตามทรงที่ลูกค้าต้องการ บางทีก็ไม่มีอะไรมากมาย ทีนี้บางทีมันก็มีความหมายเกิดขึ้น เช่น อะไรเหรอ พอเริ่มไดร์ผม ลูกค้าบางท่านอาจมีความต้องการทรงพิเศษบางประการ ซึ่งแม้ว่าช่างจะถามก่อนแล้วว่าไดร์ผมยังไงดีคะ อ๋อ เอาวอลลุ่มหน่อยค่ะ พองๆ นิดๆ ไม่ชอบโคนแบน ช่างก็เอาเลยลงมือใช้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีไดร์สุดมือ
แต่ที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจซาลอนแค่นั้นเอง จริงๆ แล้วเรื่องการที่เราจะต้องเจอกับปัญหาเกี่ยวกับคน ค้น คน นี่นะมันยังมีอีกมากมาย เล่าได้ไม่รู้จบ จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่ซาลอนหรอก ธุรกิจอื่นก็ต้องเจอกับปัญหาคน ค้น คน เหมือนกันแหละ เพียงแต่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนเท่านั้นเอง วันนี้อาจจะเป็นเสียงกระซิบแบบบ่นๆ ของฝ่ายเจ้าของร้านเนอะ วันหน้าจะกลับมาพร้อมกับเสียงกระซิบจากซาลอน
ของฝ่ายลูกน้อง หรือลูกค้ามั่งดีกว่า ให้เห็นหลายๆ มุมว่า ถ้าเราไปอยู่ในมุมมองที่ต่างกันมันอาจจะช่วยลดปัญหาเรื่องคน ค้น คน ให้ทุกๆฝ่ายก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ถ้าทุกคนรู้จักหน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบในบทบาทที่พึงกระทำอย่างเห็นอกเห็นใจและมีน้ำใจต่อกัน ย่อมทำให้ปัญหาหรือความขัดแย้งต่างๆ คลีคลายลงได้อย่างแน่นอน ซึ่งก็แน่นอนว่าเสียงกระซิบจากซาลอนก็จะเป็นเสียงกระซิบที่ไพเราะ น่าฟัง และมีความสุขนั่นเอง สวัสดีจ้า ชาวซาลอน รักคุณจ้า……