v ซึ่งมีผู้ติดตามนับหมื่นคน ในมุมหนึ่งของชีวิตที่ถูกถ่ายทอดผ่านช่องทางออนไลน์ แต่เบื้องหลังล่ะ ? ช่วงเวลาที่ไม่ถูกนำเสนอนั้นเป็นอย่างไร ? พี่แจ็คมีทัศนคติแบบไหน? จากคนธรรมดาคนหนึ่งเพราะอะไรจึงทำให้มีผู้สนใจ ผู้ติดตามที่จะดูคลิปเป็นหมื่นๆคน ความถี่ในการรับชมกว่า 200,000 ครั้ง ถ้าอยากรู้ถึงเสน่ห์ของช่างผมสุดแซ่บคนนี้ มาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ
HW+ : ชีวิตวัยเด็ก?
พี่แจ๊ค: อยู่ จ.แพร่ คุณพ่อทำธุรกิจค่ะ ฐานะถือว่าดีเลยแหล่ะ แต่หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ธุรกิจไม่ค่อยดี มีปัญหาเรื่องเงินมาเกือบ 10 ปี ในส่วนของพี่แจ๊คเองก็รู้สึกถึงเพศที่สามของเราตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ คือความชอบของเรามันไม่ปกติประกอบกันเป็นเด็กที่ชอบคิด ชอบพิจารณาก็เลยเริ่มช่วยพ่อแม่ทำงาน อะไรที่พอทำได้ก็ทำหมดทุกอย่าง
HW+ : ทำไมถึงมาเป็นช่างผม?
พี่แจ๊ค: ตอนแรกก็พยายามที่จะวางเป้าหมายในชีวิต แต่ด้วยความทีเป็นเด็ก ม.ต้น ยังมีความต้องการชัดเจนหรอกว่าอยากเป็นอะไร ทางบ้านก็เลยเลือกสายสามัญ วิทย์-คณิต ในระดับมัธยมปลาย พี่เองก็ง่ายๆค่ะ ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองทำได้ทุกอาชีพ ถ้าพ่อแม่อยากให้เป็นหมอ วิศวะหรือทำงานธนาคารก็ได้หมด เพราะตามค่านิยมของผู้ใหญ่ ก็จะให้มาแนวนี้ เป็นงานที่มีความมั่นคง หลังจากนั้นพี่ก็ดำเนินชีวิตไปตามแบบแผนค่ะ เรียนจบก็มาทำงานให้กับบริษัทบริหารทรัพย์สินแห่งหนึ่ง ทำอยู่ประมาณ 2 ปีครึ่ง ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยชอบค่ะ นึกย้อนไปสมัย ม.ปลาย ที่เราแบ่งเวลาว่างไปเรียนแต่งหน้า และตัดผมที่สารพัดช่างแพร่ ตอนนั้นเราเป็นนักเรียนรุ่นแรกของเขาเลย ต่อมาตอนที่เข้ากรุงเทพฯใหม่ๆ ก็ได้เรียนพวกคอร์สนวดหน้า สครับผิวและเรียนตัดผมเพิ่มอีกในสถาบันความงามแห่งหนึ่ง พี่ก็เลยตักสินใจลองไปหาฝึกงานด้านผมตามร้านของรุ่นพี่ที่รู้จักกัน หาประสบการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
HW+ : กว่าจะเป็นที่รู้จัก?
พี่แจ็ค: ตอนนั้นก็ยึดอาชีพช่างผมเป็นอาชีพเสริมค่ะ ในใจคิดว่าถ้าทำคนเดียวลำบากนะ และจากที่พี่ปูทางให้น้องอีก 3 คน ก็เลยกลายเป็นช่างผมเหมือนกันหมด ก็เลยมาช่วยกันคิดตรงนี้ ด้วยความที่น้องเราไม่มีหัวด้านบริหาร พี่ก็เลยศึกษาเพิ่มด้วยตัวเองหาเรียนด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ก็ทำในเวลาว่างมาเรื่อยๆ จากนั้นจึงออกงานประจำมาเป็นช่างผมเต็มตัวมาเปิดร้านตรงชั้น 2 โรงหนังสยามได้ 3 ปี ก็มีเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อปี 2553 ตอนนั้นเปิดไปยังไม่คุ้มทุนเลยค่ะ ก็ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เราเลยต้องมาตั้งหลักใหม่คิดว่านอกเหนือไปจากไฟไหม้แล้ว มุมมองในเรื่องทำเลเราก็ต้องด้อยด้วย ครั้งนี้เลยเน้นประชาสัมพันธ์ในร้านใหม่ซึ่งอยู่ในจุดปัจจุบันนี้ค่ะทำทุกอย่างที่พอทำได้ทั้งวิ่งไปออกรายการทีวีทั้งช่องหลัก และช่องเคเบิ้ล ใครเชิญไปไหนไปหมด ตื่นตี 4 เลิกงานเที่ยงคืนหรือตี 1 จนมาถึงยุคที่เริ่มมี hi5 ถือว่าเป็นจุดแรกที่ทำให้รู้จักโลกออนไลน์ ทำให้พี่เริ่มโปรโมทที่อยู่ของร้านเป็น อย่างกลุ่มนักร้องดารา เวลาที่เขามาตัดผมกับเราเขาก็เอาไปคุยต่อว่เซ็ตง่าย มันก็กระจายไปแบบปากต่อปาก ก็เริ่มรู้จัก “พี่แจ็ค ฟีนิกซ์”
HW+ : ทำไมต้อง แจ็ค ฟีนิกซ์ ?
พี่แจ็ค: หลังจากที่ไฟไหม้ ร้านใหม่ก็เลยถือโอกาสเปลี่ยนชื่อค่ะ เราตั้งใจว่าไม่เอาชื่อ “แจ๊ค” ตั้งเป็นชื่อร้านแน่นอน ลูกค้าที่ทำผมให้ตอนนั้นก็เลยเสนอว่า ชื่อร้าน Phoenix สิคะพี่ เพราะมาจากที่ร้านเดิมไฟไหม้ คำนี้หมายถึงนกฟีนิกซ์ที่มาจากเปลวไฟ เป็นนกอมตะ ไม่มีวันตาย พี่ก็เลยเอาชื่อนี้ไปให้คุณแม่ดูก็โอเค ความหมายดีทุกอย่าง เลยใช้ชื่อ Phoenix มาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ
HW+ : เริ่มโปรโมทงานออนไลน์ มีผลตอบรับอย่างไร?
พี่แจ็ค: ที่จริงหวงชีวิตส่วนตัวนะ เราก็คิดว่าเราเป็นเพศที่สามเขาจะมองเรายังไง แต่จุดเริ่มต้นก็มาจากน้องๆ ดารา นักร้อง เน็ตไอดอลนี้แหละที่มักจะเข้ามาทำผม มีการแลกสื่อ เพื่อประชาสัมพันธ์ร้าน แต่พอมาแลกกันไปถึงเราก็จะไม่มีปัญหา อะไรแต่เราก็มองในมุมของพนักงานในร้านที่เขาเหนื่อยแล้วไม่ได้อะไรด้วย พี่แจ๊คเลยหาช่องทางซัพพอร์ตเขาจนได้ข้อสรุปว่าคนเสพสื่อข่าวออนไลน์เนี่ย เขาชอบดูเรื่องของคนอื่น ตอนนั้นรายการเรียลริตี้ AF , The Star ดังมาก เราเลยจับเอาโทนรายการตรงนั้นมานำเสนอ ซะเลย ก็เริ่มทำคลิปผู้จัดการร้านของเราคือใคร ช่างตัดผมแต่ละคนชื่ออะไร แล้วทำให้แต่ละคนมีบทบาทของตัวเองขึ้นมา ก็เลยเริ่มมีคนชอบทีมงานของเรา มี inbox เข้ามาปรึกษาปัญหาชีวิตบ้างก็มีค่ะ ทั้งเคสที่ป่วย ต้องนอนเฉยๆ ทำงานหนักไม่ได้ บางคนก็เป็นโรคซึมเศร้า เขามองเราเป็นเพื่อน เป็นพี่ คอยระบายและให้คำปรึกษา บางวันเราลงคลิปเรท ก็มีคนทวงมาละ 10 – 20 ข้อความ ทุกวันนี้เรามี Facebook live เพิ่มขึ้นมา เวลาโพสต์อะไรก็มีคนมา Comment ก็เลยกลายเป็นความผูกพัน คำว่า Fanclub หรือ FC ใช้กับพี่ไม่ได้ เพราะพี่ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่เน็ตไอดอล เป็นแค่คนธรรมดาที่อยากมีเพื่อน
HW+ : เวลามีกระแสโซเชียลแรงๆ ตอบรับยังไง?
พี่แจ็ค: ส่วนตัวพี่ไม่เคยคิดลบตามนะ มันอยู่ที่เราทำใจ พี่ไม่เคยเก็บ Comment ที่ด่ามาใส่ใจเลย เราไม่จำเป็นต้องตามไปดูหรือตามไปด่า เขาจะพูดว่ากระเทยอะไรยังไงก็ไม่สนใจ เพราะถ้าเราสนใจ ไปให้ค่า ไปรับรู้มากก็ไม่สบายใจเปล่าๆ เราไปทำอย่างอื่นดีกว่า
HW+ : แล้วมีวิธีการดูแลพนักงานในร้านยังไง?
พี่แจ็ค: พี่ยึดคำสอนและดูแลพนักงานในแบบที่เคยได้รับการสั่งสอนมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำผม การยืน การนั่ง มารยาท การพูดคุยกับลูกค้า ซึ่งพี่เคยฝึกมาหนักนะ แต่เด็กยุคนี้่ก็ต่างจากยุคก่อน จะคิดง่ายๆ สบายๆ มากขึ้น ซึ่งในบางครั้งถ้าปล่อยก็อาจทำให้คุณภาพของร้านลดลง พี่เลยพยายามยึดถึงกติกาของเราเป็นหลัก ใครรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะบอกเลยว่า เดี๋ยวก็มีคนใหม่เข้ามาอีกตลอดค่ะ สำหรับการฝึกนักเรียนด้วยตัวพี่เองในแต่ละครั้ง ก็จะมีการเซ็นสัญญาการทำงานแต่ก็เคยเจอประสบการณ์เด็กหนีงาน ทิ้งสัญญาก็มี เราก็ผิดหวังนะแต่เราก็พยายามแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นคือสอนเท่าที่เห็นว่าสมควรให้ได้
HW+ : Phoenix Salon ในปัจจุบัน?
พี่แจ็ค: มีทั้งหมด 7 สาขาค่ะ พี่ก็ไม่ค่อยอยากเปิดเยอะในตอนแรก แต่ทั้งน้องเรา ทั้งช่างผมที่ทำงานด้วยกันมานาน เมื่อเขาอยู่ถึงจุดหนึ่ง ก็รู้สึกอยากเปืดร้านของตัวเอง แต่จากประสบการณ์ที่ออกไปแล้วบางคนอาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ก็เลยกลับมาคุยกันในเรื่องของการเป็นเจ้าของร้านร่วมกันเพราะทุกคนมีส่วนในการสร้างแบรนด์ฟีนิกซ์ขึ้นมาจนทุกวันนี้ เราก็เลยกระจายไปตามจุดต่างๆ เป็นสาขา พอช่างผมคนอื่นเห็นก็อยากทำด้วย พี่ก็เลยเริ่มขยายมาตั้งแต่นั้น เพราะความจริงพี่ก็อายุย่าง 41 แล้ว ก็อยากดูแลสุขภาพออกท่องเที่ยวบ้าง เลยพยายามบอกให้น้องๆ ในร้านว่า อยากเป็นหุ้นส่วน อยากประสบความสำเร็จไม่ยาก ต้องขยันใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ได้ พี่ดูที่การกระทำของทุกคนเป็นหลัก
HW+ : การแบ่งเวลา?
พี่แจ็ค: ตอนนี้เวลางานกับเวลาส่วนตัวปนกันไปแล้วค่ะทำงานตลอด จนถึงเวลานอนเลย
HW+ : แล้วอุปสรรคที่เคยเจอในอาชีพล่ะ?
พี่แจ็ค: ของพี่แจ็คเป็นเรื่องความคิดค่ะ อย่างเราตัดผมให้ลูกค้าเราก็เคยคิดว่าคนนั้นๆ จะต้องรักเรา ตัดผมกับเราไปตลอด แต่ตอนนี้พอโตขึ้นมาก็รู้ว่ามันไม่ใช่ แต่ละคนก็มีสิทธิเลือก ใครอยากทำอะไรมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวเขา เราต้องเปืดใจให้กว้าง พนักงานเพื่อนร่วมงานก็เหมือนกัน ใครจะเข้ามาหรือลาออก ใครจะเป็นลูกมือหรือไม่ ก็ต้องปล่อยไปตามทางของแต่ละคนค่ะ
HW+ : วิธีสร้างกำลังใจ?
พี่แจ็ค: กำลังใจมาจากที่ตัวเองคิดและลงมือทำ.. เพราะพี่กลัวความจน
HW+ : เป้าหมายในอนาคต?
พี่แจ็ค: ไม่ได้วางแผนอะไรไว้มากนัก ถ้าเป็นไปได้ อีก 5ปี อาจกลับไปอยู่กลับพ่อแม่ที่แพร่ เพราะพี่ก็สร้างบ้านไว้ให้ท่านหมดแล้ว อยากสอนนักเรียนช่างผมที่นู้น คอยพัฒนาบุคลากรโดยให้เขามีอาชีพที่มั่นคงในซาลอนของเรา ในชีวิตพี่ ไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องไปถึงจุดไหนไม่เคยกำหนดว่าเราจะประสบความสำเร็จเมื่อไหร่ แต่เราเน้นว่าทำทุกวันไม่ให้เกิดความทุกข์ ดูแลคนใกล้ตัว กินข้าวกันหรือยัง วันนี้ทำอะไรกันบ้าง แค่นี้พี่ก็มีความสุขแล้ว
เรียกได้ว่าเป็นมุมมองชีวิตที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ ทั้งการเฝ้าดูพี่แจ๊คผ่านไลฟ์ และพี่แจ็คในการใช้ชีวิตจริงต่างมีสีสันที่หลากหลายแบบไม่แพ้กัน รวมถึงคำแนะนำดีๆ ของการตั้งสติในการใช้สื่อโซเชียลซึ่งคงจะช่วยให้หลายๆท่านมองเห็นวิธีการมากขึ้น สุดท้ายที่เราต้องยกให้ช่างผมคนนี้คือความรักในวิชาชีพและความขยันที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง ถ้าคุณอยากได้ก็ต้องพยายาม ต้องไม่ย่อท้อ อย่างนกเพลิงอมตะ … แจ็ค Phoenix