ช่างผมชาย หรือช่างบาร์เบอร์ ถือได้ว่าเป็นการทำงานที่ต้องใช้ฝีมือแบบ Handmade และ One Man Show จริงๆ ต้องทำงานและให้บริการเองทุกอย่าง ตั้งแต่รับลูกค้า ตัดผม สระผม ทำสี ดัดผม และยืดผมเอง โดยส่วนใหญ่ร้านตัดผมชายโดยเฉพาะจะไม่มีช่างผู้ช่วย ซึ่งแตกต่างจากร้านซาลอนที่รับลูกค้าทั้งผู้ชายและผู้หญิง และร้านเสริมสวยที่จะรับเฉพาะลูกค้าผู้หญิงอย่างเดียว
บรรยากาศการให้บริการในร้านบาเบอร์จะเห็นได้ว่าช่างจะทำงานเป็นโต๊ะประจำ แต่ละโต๊ะจะมีเครื่องมือ อุปกรณ์ตัดผมวางจัดเรียงไว้หน้าเคาน์เตอร์อย่างเป็นระเบียบ และจะวางจัดเรียงอยู่ทางด้านที่ช่างถนัดเสมอเพื่อสะดวกในการหยิบใช้ เช่น ช่างถนัดซ้ายก็จะวางอยู่มุมกระจกด้านซ้าย ช่างถนัดขวาก็จะวางอยู่มุมกระจกด้านขวา ด้วยแฟชั่นสมัยใหม่ การตัดผมชายใช้เทคนิคการไล่เฟด (Fade) เครื่องมือในการตัดประเภทปัตเตอร์เลี่ยน (Clipper) จึงต้องใช้อย่างน้อย 2-3 ตัว แต่ละตัวจะมีฟันรอง (Clipper Guard) หลายขนาด ตามความสั้นยาวของผม
การไล่ Fade กำลังเป็นที่นิยม เพราะถือว่าเป็นทรงแฟชั่น จึงจำเป็นที่ช่างตัดผมชายต้องมีความรู้ ความสามารถในการตัดผมแบบไล่ Fade ได้ ในการสอบมาตรฐานระดับ 4 ผมชาย ช่างที่จะสอบนอกจากตัดทรงพื้นฐาน ทรงสูง ทรงกลาง ทรงต่ำ ได้แล้ว ต้องตามแฟชั่นให้ทันด้วย คือ ต้องตัดทรงแฟชั่นได้ เช่น ทรงไล่ Fade ทรง Two Box ทรง Under Cut ทรงสั้นข้าง ยาวข้าง ตามสมัยนิยม นอกจากเทคนิคการตัดที่หลากหลายแล้ว แฟชั่นสีผม ไฮไลท์ โลไลท์ หรือการปรับระดับสีผมให้สว่างในระดับ 8 ขึ้นไปก่อนทำสีแฟชั่น ช่างตัดผมชายก็ต้องศึกษาให้เข้าใจ เพราะอิทธิพลทรงผมสไตล์ K Pop หรือ J Pop จากนักร้องดังวงต่างๆ ทั้งของเกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึงดารานักร้องบ้านเรามีอิทธิพลต่อแฟชั่นทรงผมที่ลูกค้าใช้เป็นแบบหรือตัวอย่างมากที่สุด มากกว่าการที่จะให่ช่างออกแบบทรงผมให้เสียอีก
สิ่งที่ตามมาคืองานดัดผม เพิ่ม Volume หรือลอนผมเบาๆ ก็เป็นอีกงานที่ช่างระดับ 4 ต้องทำให้ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ถ้าพูดถึงงานบาร์เบอร์หรือช่างผมชายจะไม่ค่อยมีงานเคมีประเภทดัดผม และทำสีแฟชั่นมากเท่าไหร่ งานสีส่วนใหญ่จะเป็นงานปิดผมขาวด้วยสีดำหรือน้ำตาลเข้มเท่านั้น ก็จะเห็นได้ว่างานในร้านตัดผมชายเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น จึงเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องจำเป็นที่ทุกท่านจะต้องปรับตัวให้ทันโลก ทันแฟชั่นมากขึ้น ด้วยสื่อ Social ที่เข้าถึงทุกคนได้ง่าย ทำให้ลูกค้ามีความต้องการที่มากขึ้น ถ้าช่างยังไม่พัฒนา หาความรู้เพิ่มเติมก็จะตัดโอกาสและรายได้ลงไป
แนวทรงไล่ Fade ถ้าเป็นทางยุโรบ อเมริกา ลูกค้าโดยส่วนใหญ่ตัดผมแล้วก็จะให้ออกแบบตัดแต่งหนวดเคราด้วย ก็เลยจะทำให้เราช่างผมไทยก็จะเห็นและต้องศึกษางานแต่งและออกแบบหนวดเคราเพิ่มขึ้น ซึ่งคนไทยโดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีลูกค้าที่มีหนวดเคราหนา ดกดำเหมือนแขกขาว หรือฝรั่งต่างชาติ แต่เราก็จะเห็นคนไทยบางกลุ่มที่เริ่มไว้หนวด ไว้เครา เราก็จะเริ่มเห็นแฟชั่นตัดแต่งหนวดเครามากขึ้นตามสไตล์แบบคนเอเซีย บางๆ เบาๆ แต่ต้องเข้าใจโครงหน้า เข้าใจเส้นขน หนวดเครา และออกแบบให้เหมาะสม ถือเป็นอีกงานที่น่าท้าทายของช่างระดับ 4
ด้วยธุรกิจการบริการที่เปลี่ยนไป รูปแบบการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น การตกแต่งร้านก็ดูจะมีสีสัน และสร้างความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี แต่ก็อย่าลืมดูแลเรื่องความสะอาด สุขอนามัย แสงสว่างที่เหมาะสมกับการทำงาน และช่องระบายอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศ เพื่อสุขภาพอนามัยทั้งตัวช่างและลูกค้า
การสอบก็จะมีสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติโดยส่วนใหญ่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ดี แต่ภาคทฤษฎีก็จะสอบถามองค์ความรู้เรื่องโครงสร้างเส้นผม โครงสร้างศีรษะ ขั้นตอนการระบายสีที่ถูกต้อง ส่วนผสมที่เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องการ การทำงานทางเคมีของการทำสี ดัด ยืด ความแตกต่างของงานสระในแต่ละงาน ซึ่งได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด ลองติดตามอ่านย้อนหลังได้ในคอลัมน์ Pro.Skills เพราะได้เก็บรายละเอียดทุกระดับชั้นไว้ให้แล้ว ตั้งแต่ระดับ1-4 ซึ่งเป็นการสอบวัดมาตรฐานผมสุภาพบุรุษระดับสูงสุดที่เปิดให้สอบในประเทศไทย ณ ขณะนี้ ฉบับหน้าจะพูดถึง “มาตรฐานผมหญิงระดับ 4” กันต่อ ซึ่งก็เป็นระดับที่เปิดสอบสูงสุดของมาตรฐานผมสตรีเช่นกัน แต่ตัวมาตรฐานจริงๆ แล้วมีทั้งหมด 8 ระดับ ในโอกาศต่อไปจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง
Credit : คอลัมน์ Pro.Skills นิตยสาร Hairworld Plus Issue 26 โดย อาจารย์ดุสิตา ศุภผลา