เริ่มต้นศักราชใหม่ด้วยธีมคัลเลอร์ฟูล รับเทศกาลแห่งความสุข และความสนุกสนานในปีหมูทอง ด้วยการนำเข้าผลิตภัณฑ์ 2 แบรนด์ผม ที่กำลังมาแรงอย่าง KERAPHLEX (เคราเฟล็กซ์) และ PULPRIOT (พลับรีออท) จะช่วยให้หนุ่มๆ สาวๆ ได้สนุกกับการทำสีผมกันแบบไม่ต้องกลัวผมเสีย โดย 2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง “คุณเมย์ – สรัญญา คชาทอง” และ “คุณบู้ – ดร.ณฤชา รัมพาภรณ์” แห่งบริษัท เอ็น อาร์ สแคว จำกัด (NR Square Company Limited) จากผู้ที่หลงใหลในเสน่ห์ของสีผม และผลิตภัณฑ์ผม คุณภาพระดับโลก วันนี้ทั้งสองจะมาเพิ่มสีสันและคืนความสดใสให้วงการแฟชั่นผมได้กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง
พูดถึงแบรนด์ PULPRIOT และ KERAPHLEX
คุณเมย์ : ขอพูดถึง KERAPHLEX ก่อนนะคะ เป็นแบรนด์แรกที่นำเข้ามา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเกี่ยวกับเส้นผม ลูกค้าในร้านซาลอนต่างๆ ที่ผ่านการทำเคมีมาเยอะ KERAPHLEX จะช่วยดูแลเส้นผมให้มีสุภาพดีขึ้นหลังจากผ่านการทำเคมีซ้ำซ้อนในทุกๆ ด้าน และยังช่วยให้ซาลอนสร้างผลงานได้อย่างที่ต้องการโดยไม่ต้องกังวลถึงสุขภาพผม ส่วน PULPRIOT เป็นแบรนด์สีย้อมผมระดับโลกไม่เป็นที่สองรองใคร เป็นสีที่สามารถเล่นได้กับคนทุกรุ่นทุกวัย และในขณะที่ทำการฟอกผมจะไม่ทำให้ผมเสียมากกว่าเดิม
ทำไมถึงตัดสินใจนำเข้าผลิตภัณฑ์ทั้งสองแบรนด์นี้
คุณบู้ : คำตอบทั้งสองแบรนด์เหมือนกันค่ะ เพราะว่ามันดีและไม่เป็นรองใคร และทุกๆ แบรนด์ต่อจากนี้เรายังจะใช้คอนเซ็ปต์เดิม ถ้าวันหนึ่งมีผลิตภัณฑ์เหมือนกันแต่ดีกว่าเรา เราก็พร้อมที่จะถอนตัวออกมาและนำตัวใหม่เข้ามาเพื่อให้ทุกคนได้ใช้ของที่ดีที่สุด
เส้นทางธุรกิจเริ่มต้นได้อย่างไร
คุณบู้ : เริ่มต้นเลยคือเรามีกันอยู่ 4 คน เราก็เป็นแค่ซาลอนแห่งหนึ่งที่เพื่อน 4 คน มาทำร่วมกัน แล้ววันหนึ่งก็มีคนออกไป 1 คน เพราะแนวทางไม่เหมือนกัน จนเหลือเรา 3 คน และเรา 3 คน ก็มองว่าเรายังมีร้านซาลอนอยู่ก็เลยลองหาของดีๆ จากทั่วโลกมาใช้ เราเคยเป็นเอ็นยูสเซอร์ เป็นคอนซูมเมอร์มาก่อน เพราะฉะนั้นเราผ่านมาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตอนนั่งฟอกสีผมแล้วร้องไห้เพราะแสบมากๆ และกลิ่นเหม็นมากๆ ถึงขั้นที่ว่าร้านซาลอนร้านนั้นต้องไปซื้อนมมาให้เพื่อนำมาล้างผมเหมือนเป็นการเคลือบเพราะว่าแสบ แล้วเราก็เลยเริ่มหาของเข้ามา บู้เป็นคนลองของเองเพราะฉะนั้นหัวบู้ก็จะลองประมาณ 40 สี ภายใน 3 เดือน เพราะฉะนั้นผ่านการฟอกมาทุกวันจนผมพัง เพื่อนคนหนึ่งเลยรู้สึกผิดและไปหาของมาทั่วโลกเพื่อลองใช้ จนได้มาเจอ KERAPHLEX ตัวแรกที่ทำให้ผมดีขึ้นมาได้ ตอนแรกเลยกะจะเอามาใช้เองในร้าน กะเป็นร้านเดียวในประเทศไทยที่มีผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ไม่แบ่งใคร เพราะร้านเราจะได้ดีที่สุด แต่เราก็ได้มาลองคิดดูว่าถ้าแค่ร้านเราร้านเดียวก็คงไม่ตอบโจทย์ได้ทั้งประเทศ เราก็เลยลองเอามาขายดูทั้งที่ความรู้ของเราตอนนั้นเท่ากับศูนย์ เป็นธุรกิจและวงการเดียวที่เราทั้ง 3 คน ไม่มีความรู้อะไรเลย มือใหม่ น้องใหม่เลย แต่ก็อยากให้คนได้ใช้ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเรา
อุปสรรคในการทำธุรกิจ
คุณเมย์ : ปัญหาหลักคือวงการนี้คืออะไร เราจะติดต่อใคร เราจะขายให้ใคร ถ้าเราเข้าไปในร้านซาลอนเราต้องเข้าไปหาคนไหนเราถึงจะขายของของเราได้ เราทั้ง 3 คน อยู่นอกวงการทั้งหมด ไม่ได้อยู่ในวงการแฟชั่นผม วิธีการของเราคือเริ่มจากการที่เราทั้ง 3 คน ต้องออกตลาดเอง เข้าไปที่ซาลอนเอง โดยตอนแรกซาลอนคิดว่าเมย์เป็นเซลล์ แต่เมย์ก็บอกว่าเมย์จะมาขอความรู้ทั้งหมด เมย์อยากจะขอบคุณระยะเวลาที่เราอยู่ตรงนี้ ขอบคุณหลายๆ ซาลอนที่เห็นเรา 3 คน เป็นน้อง และคอยแชร์ คอยแบ่งปันความรู้ คอยให้คำปรึกษา ไม่ว่าเราจะเจอกับอุปสรรคอะไรก็ตามเราเลือกที่จะเดินไปถามคนที่รู้ เจอปัญหาแบบนี้จะต้องแก้ไขอย่างไร
เคยท้อบ้างไหม
คุณบู้ : ไม่ได้ท้อ แต่แบบหาทางไปไม่ถูก คือของก็มีแต่ไม่รู้จะขายยังไงดี เรา 3 คน ทะเลาะกันบ่อยมาก แต่สัญญาว่าเราจะทะเลาะกันโดยไม่ทิ้งคำว่าเพื่อน ต่อให้เราทะเลาะเรื่องธุรกิจกันแค่ไหนเราก็จะจูงมือกันไปสู่เป้าหมายเหมือนกัน โจทย์ของเราที่ยากที่สุดคือต้องให้ทุกคนเชื่อว่าของที่เรานำเข้ามามันดีที่สุด ณ เวลานั้นๆ
คุณเมย์ : สำหรับเมย์คือพวกเราสัญญากันว่า เราต้องมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเราก่อนว่ามันดีที่สุดและตอบโจทย์มากที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าเรามั่นใจในของของเรา เราเดินออกไปหาและบอกพี่ๆ ซาลอนว่าพี่ของเราดีที่สุด เพราะฉะนั้นพี่ช่วยหาข้อเสียของมันให้หน่อยได้ไหมว่าคืออะไร ถ้ามีข้อเสีย มีหลายๆ เจ้าบอกว่าไม่ดี เราก็จะเลิกจะไม่ทำตั้งแต่วันนั้น แต่เอาจริงๆ คือเราก็มั่นใจ เราเลยไม่ยอมแพ้ เราก็เลยมองหน้ากันและจับมือว่าเราจะทำธุรกิจนี้กันต่อไป
อะไรคือแรงผลักดันให้สู้ต่อ
คุณบู้ : คือเราเข้ามาในธุรกิจนี้ทุกคนคือคู่แข่ง ทุกคนก็จะมองว่าเด็กใหม่นะเดี๋ยวมันมาเดี๋ยวมันก็ไป จริงๆ เราก็รู้จักทุกแบรนด์เพราะพวกเราเคยเป็นซาลอนมาก่อน ซึ่งเราก็บอกเขาว่าเราจะผันตัวแล้วนะ แต่ว่าเราเป็นน้องใหม่ เรามีแค่ผลิตภัณฑ์แต่ไม่รู้เลยว่าเราจะต้องขายยังไง เราลองเข้าไปที่บริษัทให้ช่วยขายให้เรา บริษัทแรกปฏิเสธ บริษัทที่ 2 มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนบริษัทที่ 3 ก็เกิด Accident คือมันเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนเราหันมามองหน้ากัน และตกลงใจว่าขายเองก็ได้ จะได้จบ เพราะเราเองก็อยากจะให้พี่ๆ ซาลอนได้รู้ว่ามันดีจริงหรือเปล่า และอยากให้ผู้หญิงทุกคนไม่ต้องมานั่งลุ้นสีว่าจะออกมาดีหรือเปล่า และมันจะมีคำว่าถ้าอยากสีสวยต้องไม่กลัวเสีย ซึ่งเราอยากจะเปลี่ยนคำนี้มากๆ เราเลยแบบว่าเอาวะ…มาลองกันดู ซึ่งพี่ๆ ของเราก็กลายมาเป็นคู่แข่งของเขาทันที อาจจะเป็นคนนอกวงการเลยอาจจะคิดไม่เหมือนกัน
คิดอย่างไรกับวงการนี้
คุณบู้ : ไม่เหมือนวงการอื่นเลย ไม่เหมือนทุกอย่างที่เราเคยผ่านมา ถามว่าสนุกไหม สนุกค่ะ ได้อรรถรสครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะหอมหวานหรือทุกข์ระทม ได้มิตรภาพที่ดีและปัญหาเราก็เยอะ ต้องเจอกับคนในหลายๆ รูปแบบ เจ็บมาก็เยอะ คือเหมือนมันได้มาจากความเจ็บปวด เราเลยเอามาเป็นแรงผลักดันเพื่อให้เดินไปข้างหน้า เรารู้สึกว่าอยากเรียนรู้วงการนี้มาตั้งแต่เราเป็นเด็กใหม่ที่พึ่งเดินเข้ามา ทำไมต้องเป็นแบบนี้ แต่ละซาลอนก็จะหลากหลายแบบ แต่สุดท้ายแล้วเราได้เจอมิตรแท้ในหลายๆ ที่ ด้วยไลฟ์สไตล์ของเรา 3 คน คือชอบเที่ยว ก็เลยกลายเป็นแบบว่าพี่ๆ ซาลอนกลายมาเป็นครอบครัวของเรา
ช่วยแนะนำคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับวงการผม แต่อยากทำธุรกิจนี้
คุณเมย์ : เมย์จะพูดในฐานะที่เมย์เป็นผู้หญิง ถ้าจะเดินเข้าไปในซาลอนก็คาดหวังว่าจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ อย่างเช่นสีผมที่ได้คุณภาพ ถ้าถามเมย์เห็นถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ ก่อนที่จะทำอะไรควรดูข้อมูลก่อนว่าอะไรดีและไม่ดีกับเขา ราคาประมาณเท่าไหรที่เขาจะรับไหว ถ้าเราเข้าซาลอนคือจะสามารถตอบโจทย์เราได้มากน้อยแค่ไหน อยากให้อยู่ในกิมมิคที่ว่าทำไมเราจึงอยากหาของดีเข้ามาให้ซาลอนใช้ เพราะลูกค้าเองก็ไม่อยากเข้าไปเสี่ยงว่าฉันจะได้ของดีอย่างที่ฉันต้องการหรือเปล่า อยากให้เริ่มจากใจรักและความจริงใจต่อผู้บริโภคก่อนอันดับแรกค่ะ
เสียงตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
คุณเมย์ : ในขณะที่เราไปหาซาลอนหรือเยี่ยมลูกค้า เราจะได้เจอลูกค้าของทางซาลอน เราก็ขออนุญาตเขาและพุ่งไปหาลูกค้าของเขาแล้วถามว่าชอบผลิตภัณฑ์นี้ไหม เราก็จะดีใจทุกครั้งที่เขาบอกว่าชอบ อมยิ้มทุกครั้งที่เห็นเขาใช้ผลิตภัณฑ์และบีบลงบนศีรษะให้ลูกค้าเขา คือเหมือนแบบว่าหัวคนนี้ไม่ไหวก็จะมีแบรนด์นี้นี่แหละที่จะช่วยหัวของคนนี้ได้ มันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ เป็นกำลังใจที่จะทำให้เราเดินหน้าต่อ
ตอนนี้พอใจกับเสียงตอบรับและยอดขายหรือยัง
คุณบู้ : ก็ยังไม่นะเพราะปีแรกของเราคือลองผิดลองถูก ถามว่าสองปีนี้มีรายได้เข้ามาไหม มันเข้า แต่ถึงเป้าไหมเราก็ยังไม่คิดว่าสำเร็จ แต่ถามว่าเราคิดยังไง เราค่อนข้างภูมิใจ นับตั้งแต่วันที่เราก้าวเข้ามามันคือศูนย์ แต่ตอนนี้เราได้รู้จักพี่ๆ ซาลอน รู้จักหลายๆ คน ลูกค้ารู้จักเรา คือมันโอเคมากค่ะที่เราสำเร็จได้ในหนึ่งก้าว เรามีเป้าหมายว่าเราต้องการอะไร แล้วมันไปถึงแล้ว มันคือความสุขเล็กๆ น้อยๆ Business มันยังไม่ได้โต แต่ความสุขคือเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่เราจะต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก
แล้วแบรนด์ที่ 2 PULPRIOT มาได้อย่างไร
คุณบู้ : แบรนด์ที่ 2 หลักๆ เลยก็น่าจะมาจากตัวเราชอบทำสีผม เริ่มมีความสนุกกับการทำสีมากขึ้น เหมือนว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วหาสีเองเลยแล้วกัน ซึ่งมันก็ค่อนข้างตอบโจทย์นะ เพราะสีกับน้ำยาสระผมมีกลิ่นเดียวกัน ซึ่งมันจะหาได้น้อยมาก เพราะปกติมันจะแบบว่าแสบนู่นแสบนั่น คือทำสีผมขาดไม่ได้อยู่แล้วคือการฟอกและกลิ่นไม่ได้ติดไปแค่ 2-3 วัน เราก็เริ่มหาว่าแบรนด์อันไหนดีจนได้มาเจอกับแบรนด์นี้ เป็นของอเมริกาก็คือ PULPRIOT ก็เหมือนเดิมคือลองเรียนรู้กันไป ซึ่งก่อนที่เราจะเลือกเอาแบรนด์นี้เข้ามา เราก็ยังเลือกอยู่หลายๆ แบรนด์ ในขณะเดียวกันเราก็ลองแต่ละแบรนด์ ซึ่งแต่ละตัวใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เอาที่เรามั่นใจแล้วว่ามันดี มันเจ๋ง เราต้องลุยมันสักตั้ง
บอกเหตุผลได้ไหมว่าถ้าไม่ใช้ PULPRIOT และ KERAPHLEX ลูกค้าจะพลาดอะไร
คุณเมย์ : ถ้าไม่ใช้ 2 แบรนด์นี้คุณจะพลาดความสนุก ความเป็นสีสันของตัวเองไปเลย คือเราเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่มีความรู้อะไรเลยยังกล้าที่จะเดินเข้ามาในวงการที่มันเป็นโกลกว้างสำหรับเรา แต่พี่ๆ ซาลอนมีฝีมือมาตลอด 20 กว่าปี มันเป็นวิชาชีพที่ติดอยู่ในมือพี่ๆ อยู่แล้ว แล้ววันนี้จะไม่ให้โอกาสมด 3 ตัว ได้หาผลิตภันณ์ดีๆ มาให้กับช่างที่มีฝีมือดีๆ ได้ใช้ของดี ถ้าเกิดของดีและฝีมือที่ดีมาเจอกัน มันจะทำให้ทุกสิ่งเพอร์เฟ็กต์ ประเทศไทยเป็นประเทศที่สีสันสวยงาม ทั้งเรื่องธรรมชาติ และอื่นๆ เพราะฉะนั้นอย่าพลาด เพราะว่ามดน้อย 3 ตัว ยังกล้าเดิน ฝีมือพี่ๆ เก่งกว่าพวกเราเยอะ ขอให้เดินไปด้วยกัน แล้วเราจะทำให้ทุกอย่างมันเพอร์เฟ็กต์ในประเทศของเรา
เคล็ดลับในการทำงาน
คุณบู้ : คำว่าใจถึงเรียกว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญดีกว่า แต่สิ่งที่สำคัญหลักๆ คือ ใจรัก แล้วคุณต้องสนุกกับมันก่อน ถ้าเกิดต่อให้ปัจจัยคุณถึง แต่คุณไม่มีความสุขกับการทำงานขึ้นทุกวันๆ คุณก็จะไม่มีแรงผลักดันที่จะทำให้มันดีขึ้นไปอีก
คุณเมย์ : เพราะฉะนั้น มันเลยตอบโจทย์ที่ว่าเราต้องสนุกและเราต้องรักมันมากพอ ก่อนที่เราจะทำมัน ถ้าเกิดเรารักและเราสนุกกับมัน มันจะเป็นแรงผลักดัน แล้วทำให้รู้สึกว่าฉันไม่ได้ตื่นมาทำงาน แต่ตื่นมาทำในสิ่งที่ฉันรักมากกว่า
จากแนวคิดที่ว่าเริ่มต้นด้วยใจรัก ทำอย่างมุ่งมั่นพากเพียร ไม่หยุดยั้ง ที่สำคัญคือ ต้องมีวิสัยทัศน์ และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เชื่อเหลือเกินว่าทั้งแบรนด์ PULPRIOT และ KERAPHLEX จะต้องเติบโตบนเส้นทางนี้อย่างสวยงาม เพราะช่างผมย่อมมีความสุข และความมั่นใจในการได้แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพให้กับลูกค้า ส่วนผู้บริโภคย่อมสัมผัสได้ว่าเขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเส้นผม สามารถสนุกกับการทำสีผมได้ โดยไม่ต้องกลัวผมเสียอีกต่อไป