การคิดบวกเสมอ…คือหัวใจหลักในการพูดคุยกับลูกค้าในร้านซาลอน และการจะจูงใจให้ลูกค้าซื้อบริการในร้านของคุณต่อเนื่องไม่ใช่แค่การเชียร์ขายเก่ง แต่เป็นการถ่ายทอดพลังบวกไปยังลูกค้าเพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณกำลังนำเสนอให้ต่างหาก ซึ่งสิ่งนี้จะสามารถสร้างรายได้ให้อย่างต่อเนื่อง ลูกค้าเมื่อได้รับสิ่งที่พอใจก็ย่อมต้องกลับมาซื้อซ้ำ ไม่ใช่เพียงการมุ่งปิดยอดและขายครั้งเดียวจบไป
ปกติแล้วในการแนะนำสินค้าหรือบริการต่างๆ มักจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อลูกค้าถาม แต่สำหรับช่างผมมืออาชีพก็จะรู้ว่าในบทสนทนาหนึ่งๆ นั้นมีจังหวะให้แนะนำสินค้าเต็มไปหมด ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกค้าเปิดประเด็นอย่างเดียว เราขอยกตัวอย่างสถานการณ์เด่นๆ 3 รูปแบบ ให้นำไปปรับใช้ ดังนี้
กำลังจะไปเที่ยวพักร้อน
NO : ทริปน่าสนุกจังเลยค่ะ ฟังดูน่าเที่ยวสุดๆ (ถึงจะจริงใจแต่ห้วนและเป็นการปิดบทสนทนาจนเกินไป)
YES : ทริปน่าสนุกจังเลย…เอาอย่างนี้มั้ยคะมาเตรียมตัวทำสวยก่อนไปกัน แล้วเดี๋ยวขากลับมาทำทรีทเม้นต์บำรุงผมด้วยกันนะคะ จองเลยมั้ย ช่วงนี้มีโปรโมชั่นพอดีเลยค่ะ
กำลังจะไปเที่ยวกับแฟน
NO : โอ้โห…ขนาดเดทยังลงทุนแต่งตัวซะขนาดนี้ อิจฉาคนมีความรัก (เป็นบทสนนาที่ไม่สามารถต่อยอดได้เลย)
YES : อุ๊ย…น่าตื่นเต้นจังเลย งั้นวันนี้ทำทรีทเม้นต์ก่อนแล้วค่อยไดร์มั้ยคะ ใส่เซรั่มด้วยผมจะได้หอมๆ ได้โล้สำเภาแน่นอน!!
มีแฟชั่นเทรนด์ใหม่ๆ มาแรง
NO : เทรนด์สี Pantone Ultra Violet ปีนี้ไม่ใช้สำหรับทุกคนนะจ๊ะ ต้องดูเบ้าหน้าประกอบกันด้วย (เป็นบทสนนาที่เผยความคิดแง่ลบและไม่สามารถต่อยอดได้)
YES : คุณลูกค้าสนใจเทรนด์สี Pantone Ultra Violet เหรอคะ เทรนด์นี้สวยนะคะ แต่ถ้าลูกค้าสีผิวแบบนี้เดี๋ยวเราปรับเฉดลงซักหน่อยเนอะ ผมเคยทำฟอกสีมาก่อนใช่มั้ยคะ งั้นทำม่วงโทนนี้ดีกว่า สวย ผมดูสุขภาพดีด้วยค่ะ
เห็นมั้ยว่ารูปแบบการสนทนาทั้ง 3 แบบนี้สามารถปรับใช้ไม่ยากเลย ขอแค่ให้เรามองโจทย์ในแง่บวกเสมอ อย่าคิดในแง่ลบเด็ดขาด เพียงเท่านี้เราก็สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการสื่อออกไปได้ ซึ่งสามารถส่งผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างการสร้างรายได้ได้นั่นเอง